กำหนดการสอนวิชาชีววิทยาเพิ่มเติม
| |||||
เวลาเรียน 3 ชั่วโมง/สัปดาห์60 ชั่วโมง/ภาคเรียน
| |||||
หน่วยการเรียน
|
กำหนดคะแนน
| ||||
กิจกรรม
|
สอบ
|
กลางภาค
|
ปลายภาค
|
รวมคะแนน
| |
หน่วยการเรียนที่ 1 การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต | |||||
|
1
|
1
|
1
|
0.5
|
3.5
|
|
1
|
1
|
1
|
0.5
|
5.5
|
|
3
|
3
|
1
|
1
|
6
|
รวม
|
5
|
5
|
3
|
2
|
15
|
หน่วยการเรียนที่ 2 การรับรู้และการตอบสนอง | |||||
|
1
|
1
|
1
|
0.5
|
3.5
|
(เวลาเรียน 2 ชั่วโมง) |
1
|
1
|
1
|
0.5
|
3.5
|
|
1
|
1
|
1
|
1
|
4
|
|
1
|
1
|
1
|
1
|
4
|
|
2
|
2
|
1
|
1
|
6
|
|
2
|
2
|
1
|
1
|
6
|
|
2
|
2
|
1
|
1
|
6
|
รวม
|
10
|
10
|
7
|
6
|
33
|
หน่วยการเรียนที่ 3 ระบบต่อมไร้ท่อ | |||||
|
2
|
2
|
-
|
1
|
5
|
|
2
|
2
|
-
|
3
|
7
|
(เวลาเรียน 2 ชั่วโมง) |
2
|
2
|
-
|
1
|
5
|
|
2
|
2
|
-
|
1
|
5
|
รวม
|
8
|
8
|
-
|
6
|
22
|
หน่วยการเรียนที่ 4 พฤติกรรมของสัตว์ | |||||
|
1
|
1
|
-
|
0.5
|
4.5
|
|
2
|
2
|
-
|
0.5
|
4.5
|
(เวลาเรียน 2 ชั่วโมง) |
1
|
1
|
-
|
0.5
|
4.5
|
|
2
|
2
|
-
|
0.5
|
4.5
|
รวม
|
6
|
6
|
-
|
2
|
14
|
หน่วยการเรียนที่ 5 การสืบพันธุ์และการเจริญเติบโตของสัตว์ | |||||
|
3
|
3
|
-
|
2
|
8
|
|
3
|
3
|
-
|
2
|
8
|
รวม
|
6
|
6
|
-
|
4
|
16
|
รวมคะแนนทั้งหมด
|
35
|
35
|
10
|
20
|
100
|
ปฐมนิเทศและทดสอบก่อนเรียน 1 ชั่วโมง
ประเมินผลระหว่างเรียนหน่วยการเรียนละ 1 ชั่วโมง รวม 5
ชั่วโมง
|
7.1 การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว
ผลการเรียนรู้
"สืบค้นข้อมูลรวบรวมข้อมูล อธิบายและรายงานการเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว"
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. บอกความหมายการเคลื่อนที่
2. บอกปัจจัยที่ทำให้โครงสร้าง และรูปแบบการเคลื่อนที่ของสิ่งมีที่แตกต่างกัน
3. อธิบายโครงสร้า ลักษณะการเคลื่อนที่ของอะมีบา
4. อธิบายโครงสร้า ลักษณะการเคลื่อนที่ของพารามีเซียม และยูกลีนา
ข้อกำหนดก่อนเรียน ให้นักเรียนร่วมกันวิเคราะห์ปัญหาต่อไปนี้ และช่วยกันสืบค้นข้อมูล รวบรวมข้อมูล เพื่อนำมาอธิบายต่อไป
1. สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดเคลื่อนที่ได้อย่างไร ?
2. กลไกในการเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดมีลักษณะอย่างไร ?
3. ทำไมสิ่งชีวิตจึงต้องมีการเคลื่อนที่ ?
ทดสอบก่อนเรียน
คำสั่ง เลือก หรือ เติมคำตอบที่ถูกต้องที่สุด
ให้นักเรียนช่วยกันอภิปราย และสรุป
ก่อนที่จะศึกษาภาพต่อไปนี้
ภาพที่ 7-1 การบินของนก
ให้นักเรียนพิจารณาภาพแสดงการบินของนก
แล้วช่วยกันอภิปรายในประเด็นต่อไปนี้ ?
1. สิ่งมีชีวิตมีคุณสมบัติสำคัญอย่างไรบ้าง ?
2. ทำไมสิ่งมีชีวิตจึงมีการเคลื่อนที่ ?
3. การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดแตกต่างกันอย่างไร และมีโครงสร้างที่ช่วยในการเคลื่อนที่แตกต่างกันอย่างไรบ้าง ?
2. ทำไมสิ่งมีชีวิตจึงมีการเคลื่อนที่ ?
3. การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดแตกต่างกันอย่างไร และมีโครงสร้างที่ช่วยในการเคลื่อนที่แตกต่างกันอย่างไรบ้าง ?
การเคลื่อนที่คืออะไรและมีความสำคัญกับวิ่งมีชีวิตอย่างไร
การเคลื่อนที่หรือการเคลื่อนไหว (Movement)
หมายถึง การกระทำเพื่อตอบสนองต่อสิ่งเร้า
จัดเป็นสมบัติที่สำคัญประการหนึ่งของสิ่งมีชีวิต การเคลื่อนที่ปรากฏชัดเจนในสัตว์
ซึ่งเกิดจากการทำงานของกล้ามเนื้อร่วมกับระบบประสาทและโครงกระดูก
และทำให้สิ่งมีชีวิตหนีสิ่งที่ไม่ต้องการหรือเป็นอันตราย
โดยการเคลื่อนที่หนีสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวเคลื่อนที่โดยอาศัยสร้างที่แตกต่างกัน ดังภาพ 7-2
ภาพที่ 7-2 การเคลื่อนที่ของอะมีบา
สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน
ลักษณะการเคลื่อนที่ และโครงสร้างท่ีใช้ในการเคลื่อนที่จึงแตกต่างกัน เช่น
สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว์พวกอะมีบา พารามีเซียม ยูกลีนา มีไซโทสเกเลตอน
เป็นโครงร่างค้ำจุนช่วยในการเคลื่อนไหว
โครงร่างค้ำจุนที่ช่วยในการเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวมี 2 แบบคือ
1. การเคลื่อนที่โดยอาศัยการไหลของไซโตพลาซึม (cytoplasmic streaming)
การเคลื่อนที่โดยอาศัยการไหลของไซโตปลาสซึม พบในโปรติสต์ พวก
โปรโตซัว เช่น อะมีบา (amoeba) และพบในเซลล์ชนิดอื่น เช่น
เซลล์เม็ดเลือดขาว ราเมือก เรียกการ เคลื่อนที่แบบนี้ว่า การเคลื่อนไหวแบบอะมีบา
(amoeboid movement) การไหลของไซโตปลาสซึมของอะมีบาเกิดขึ้นเนื่องจาก ไซโตปลาสซึมแบ่งออกเป็น
2 ชั้น ชั้นนอกมีสภาพค่อนข้างแข็งไหลไม่ได้ (gel)
เรียกว่า เอกโตปลาสซึม (ectoplasm) ชั้นในมีสภาพเป็นของเหลวไหลได้ (sol) เรียกว่า
เอนโดปลาสซึม (endoplasm) การไหลของไซโตปลาสซึมของอะมีบามีทฤษฎีอธิบายไว้
และเป็นที่ยอมรับกันมากได้อธิบายไว้ว่า
การเปลี่ยนสภาพของไซโตปลาสซึมจากโซลไปเป็นเจล
และจากเจลไปเป็นโซลนั้นเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพโปรตีนในบริเวณดังกล่าวเพราะมีเอนไซม์ไปกระตุ้นโปรตีน
หรือ
ไมโครฟิลาเมนต์ (microfilament) ที่อยู่ในไซโตปลาสซึม
ทำให้เกิดการเลื่อนของแอกตินและไมโอซินในไซโตปลาสซึม คือ
การเลื่อนออกจากกันของแอกตินทำให้มีสภาพเป็นเจล
และการเลื่อนเข้าหากันของแอกตินทำให้มีสภาพเป็นโซล
ผลจากการไหลของไซโตปลาสซึมทำให้เยื่อหุ้มเซลล์ถูกดันโป่งยื่นออกไปเป็น ซูโดโปเดียม
(pseudopodium) จากนั้นไซโตปลาสซึมรวมทั้งออร์แกเนลต่าง ๆ
ของเซลล์จะไหลเวียนตามไปทำให้เกิดการเคลื่อนที่ของอะมีบา
ดังภาพที่ 3-16 การเคลื่อนไหวแบบนี้นอกจากจะพบในอะมีบาแล้วยังพบในสิ่งมีชีวิตอื่น เช่น
ราเมือก และเซลล์เม็ดเลือดขาว
ภาพที่ 7-3 การเคลื่อนไหวโดยอาศัยการไหลของไซโทพลาสซึมของอะมีบา
(ที่มา:http://www.emc.maricopa.edu/faculty/farabee/BIOBK/BioBookCELL2.html)
(ที่มา:http://www.emc.maricopa.edu/faculty/farabee/BIOBK/BioBookCELL2.html)
หมายเหตุ Cyclosis ในสาหร่ายหางกระรอกก็เกิดจากการไหลของ cytoplasm
2. การเคลื่อนที่โดยใช้ Flagellum หรือ Cilia พบใน Protozoa บางชนิด เช่น Euglena, Paramecium และพบได้ใน Planaria, ในท่อนำไข่และหลอดลมของสัตว์ชั้นสูง, sperm ของสัตว์ชั้นสูง และพืชชั้นต่ำ
ภาพที่ 7-4 การเคลื่อนไหวโดยอาศัย cilia ของพารามีเซียม
Paramecium Video No.
1 - A group of swimming paramecia, looking more like a bunch of
bumper cars as they collide and rebound off of one another; under oblique
illumination at a magnification of 400x with a playing time of 24.8 seconds.
Paramecium Video No. 2 - The oral groove is easy to see as this solitary paramecium drifts, slowly revolving, through the water; under oblique illumination at a magnification of 400x with a playing time of 12.0 seconds.
Paramecium Video No. 3 - A paramecium finds a potential meal in a piece of pond debris and places its oral groove over the object; under phase contrast illumination at a magnification of 600x with a playing time of 14.3 seconds.
Paramecium Video No. 4 - Two paramecia are joined, probably undergoing conjugation, a process of exchanging nuclear materials; under phase contrast illumination at a magnification of 200x with a playing time of 20.4 seconds.
Paramecium Video No. 5 - A paramecium swims slowly across the microscope field; under darkfield illumination at a magnification of 200x with a playing time of 21.0 seconds.
Paramecium Video No. 6 - The ripples of motion seen surrounding this paramecium are from beating cilia that cover the exterior of the organism; under phase contrast illumination at a magnification of 400x with a playing time of 24.5 seconds.
Paramecium Video No. 7 - The ripples of motion seen surrounding this paramecium are from beating cilia that cover the exterior of the organism; under phase contrast illumination at a magnification of 400x with a playing time of 24.7 seconds.
Paramecium Video No. 8 - The beating cilia covering this paramecium are easy to see as it slowly revolves and swims; under DIC illumination at a magnification of 400x with a playing time of 45.6 seconds.
โครงสร้างของ Flagellum หรือ Cilia ประกอบด้วย microtubule เรียงตัวแบบ 9+2 โดยมีส่วนโคนฝั่งอยู่ใน cell
membrane เรียกว่า Basal body หรือ
Kinetosome
โปรติสต์ที่มีซิเลีย (cilia) ได้แก่ พารามีเซียม
(paramecium) สเตนเตอร์ (stenter) วอร์ติเซลลา (vorticellar) นอกจากนี้ยังพบเซลล์ของสัตว์ชั้นสูงโดยพบในบริเวณหลอดลม
เยื่อบุภายในท่อนำไข่ ส่วนแฟลกเจลลัมพบในโปรติสต์พวก ยูกลีนา (euglena)
วอลวอกซ์ (volvox) และพบในเซลล์ของสัตว์ชั้นสูง
เช่น ตัวอสุจิ
ในเซลล์ที่มีซิเลียและแฟลกเจลลัม
พบว่าโครงสร้างสองอย่างนี้มีลักษณะภายนอกแตกต่างกันคือ ซิเลียมีความยาว แต่ละเส้น
2 - 10 ไมครอน ส่วนแฟลกเจลลัมจะมีความยาวถึง 100 - 200
ไมครอน และในแต่ละเซลล์จะมีซิเลียจำนวนมาก ส่วนแฟลกเจลลัมจะมีเพียง
1 - 3 เส้น แต่เมื่อพิจารณาถึงลักษณะโครงสร้างภายในของซิเลีย
และแฟลกเจลลัมแล้วพบว่า มีลักษณะคล้ายกัน คือ
มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเท่า ๆ กันประมาณ 0.5 ไมครอน
และที่แกนกลางมีลักษณะเป็นหลอดเล็ก ๆ เรียกว่า ไมโครทิวบูล (microtubules)
เรียงกันเป็นวง 9 หน่วย
แต่ละหน่วยประกอบด้วยหน่วยย่อย 2 หน่วย คือ เอ และ บี
และที่แกนกลางมีไมโครทิวบูล 2 หน่วย
เรียกการเรียงตัวของไมโครทิวบูลแบบนี้ว่า 9 + 2 ไมโครทิวบูลทั้งหมดนี้มีเยื่อหุ้มบาง ๆ ต่อกับเยื่อหุ้มเซลล์
ที่ฐานของซิเลีย
และแฟลกเจลลัมแต่ละอันจะอยู่ลึกลงไปในเยื่อหุ้มเซลล์เรียกโครงสร้างนี้ว่า บาซัลบอดี
(basal body) หรือไคนีโตโซม (kinetosome) และถ้าตัดเอาเฉพาะส่วนของบาซัลบอดีออก ซิเลีย
และแฟลกเจลลัมจะไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ แสดงว่า ในส่วนของบาซัลบอดี
ทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนที่ของซิเลียและแฟลกเจลลัม
ภาพที่ 7-5 แสดงโครงสร้างของซิเลีย หรือแฟลกเจลลัม(ที่มา :
http://www.uic.edu/classes/bios/bios100/summer2002/microtubules.jpg)
การเคลื่อนไหวของซิเลียจะเป็นแบบแกว่งคล้ายใบพาย
แต่ถ้าในสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์จะมีการโบกพัดลักษณะเป็นคลื่น
ส่วนแฟลกเจลลัมมีการเคลื่อนไหวเป็นแบบคลื่น ดังภาพที่ 3 โปรติสต์บางชนิด เช่น วอร์ติเซลลา
จะเกาะติดอยู่กับที่โดยมีก้านยึดเอาไว้และก้านนี้สามารถยืดหดได้จึงทำให้สามารถเคลื่อนไหวได้นอกจากจะอาศัยการโบกพัดของซิเลีย
แต่ถ้ามันจะเคลื่อนที่ตัวของมันจะหลุดออกจากก้านและใช้ซิเลียโบกพัดเคลื่อนที่ไป
เมื่อหยุดเคลื่อนที่จึงสร้างก้านขึ้นมายึดเกาะใหม่
ภาพที่ 7-6 การพัดโบกของซิเลีย และและการทำงานของซิเลียหรือแฟลกเจลลัม